
สิ่งที่ฉันเป็น!!!
นักศึกษาฝึกงาน ของมูลนิธิกระจกเงา |
ก่อนอื่นต้องขอบคุณพี่ๆ ที่กระจกเงาทุกคนเลยค่ะ ไม่ ว่าจะเป็น พี่หนูหริ่ง พี่ปู พี่ตี๋ พี่ใหม่ พี่ นัน พี่เชษฐ์ พี่เกด พี่ออย พี่ ต้นอ้อ พี่จรัญ ฯลฯ ที่ทำให้ได้เรียนรู้สิ่ง ใหม่ๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากในรั้วมหาวิทยาลัย ทุกๆสิ่งที่พี่ๆ ทุกคนหยิบยื่นให้ เป็นสิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดสำหรับการเป็นนักศึกษาฝึกงาน ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องทักษะการทำงานเท่านั้น แต่ยัง รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ความรู้สึกที่เป็นกันเอง ความอบอุ่นและมิตรไมตรี ที่เชื่อว่าน้องๆนักศึกษาฝึกงานทุกคน ได้รับจากพวกพี่ๆที่กระจกเงาแห่งนี้
เริ่มแรกของการมาเป็นนักศึกษาฝึกงาที่มูลนิธิกระจกเงา ก็คือยังหาที่ฝึกงานไม่ได้ ที่เป็นแบบนี้ก็เกิดจากความเลือกมากมัวแต่เลือกจนไม่ได้สักที่ ตาม หนังสือพิมพ์หรือตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เพื่อนๆ เค้าก็ไปกันหมดแล้ว ต้องยอมรับว่าตอนนั้นโลกทัศน์ของเรายังแคบอยู่มาก ไม่รู้จักหรอกค่ะว่ามูลนิธิกระจกเงาคืออะไร พอดีได้คุยกับ น้ำก็เลยทำให้รู้จักที่มูลนิธิกระจกเงาแห่งนี้ แรกๆก็งงนะว่า กระจกเงาเกี่ยวอะไรกับสายที่เราเรียนมา (ฉันเรียนนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์นะ) พอได้เข้ามาก็ทราบว่าที่นี่มีทีมการทำงานแบ่งเป็น ICT ,BTH, TV4KIDS,และคนอาสา ซึ่งตัวเองได้มีโอกาสเข้ามาฝึกงานในส่วนของทีมTV4KIDS ทำเกี่ยวกับการเขียนข่าว ,บทความ ,และงานเขียนเพื่อสร้างสรรค์สื่อสำหรับเยาวชน บรรยากาศ ของวันแรกที่ได้เข้ามาเจอ ได้เจอกับพี่จรัญ เป็นคนแรกเพราะ พี่จรัญจะเป็นคนที่คอยดูแลในส่วนของนักศึกษาฝึกงานทั้งหมด เห็น ตอนแรกนึกว่าพี่จรัญคงจะโหดน่าดู แต่ที่ไหนได้กลับตรงกันข้าม พี่จรัญไม่ได้โหดอย่างที่เราคิดไว้ หลังจากนั้นก็ได้พบกับ พี่ๆในทีมTV4KIDS มีพี่ปู พี่ตี๋ พี่ต้นอ้อ พี่โหน่ง และพี่นิ่ม ตามลำดับ พี่ๆก็ให้การต้อนรับน้องนัก ศึกษาฝึกงานอย่างอบอุ่นและป็นกันเอง วันแรกได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับพี่ในทีมรู้สึกดีมากๆ กับการต้อนรับของพี่ๆ เรานำเรื่องทั้งหมดกลับไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนที่ฝึกงานที่อื่นๆ ก็บอกว่าของเค้าไม่มีแบบนี้นะ และมา กกว่านั้ในทีมของเรามีการจับพี่เทค เพื่อคอยดูแลและให้คำปรึกษากับน้องๆเป็นการส่วนตัว ที่ได้ เข้ามาทำในทีมTV4KIDS มีหน้าที่คือเขียนบทความ ชิ้นแรกที่ได้เขียนคือมุมมองความคิดที่มีต่อสื่อ ก็เขียนไปแบบผิดๆถูกๆ ก็ที่เรียนมาพอจะใช้งานเข้าจริงๆ ก็มีหลงๆลืมกันบ้าง นอก เหนือจากนั้น ก็ได้มีโอกาสช่วยงานพี่ๆ ทีมอื่นบ้าง ตามโอกาส
ช่วงแรกๆ ของการฝึกงานเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะต้องเดินทางมาจากรังสิต ถึงสุขุมวิท มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเด็กอยู่หอพัก เพราะไม่เคยชินกับการตื่นเช้าและนั่งรถมาทำงานนานๆแบบนี้ (นั่งรถมาทำงานหน้าเป็นตูดทุกวัน) ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ ที่จะปรับตัวเรื่องเวลาการตื่นนอน สำหรับสิ่งที่คิดว่า มูลนิธิกระจกเงา แตกต่างจากที่อื่นก็คือที่นี่มีการประชุมเช้า ซึ่งจากการสอบถามจากเพื่อนๆที่ไปฝึกงานที่อื่นจะไม่มีการประชุมเช้ากัน คิดว่าการประชุมเช้าเป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วยให้ทราบว่าแต่ละคนมี หน้าที่อะไรบ้างในแต่ละวัน และที่สำคัญคือช่วยให้กล้าแสดงออกมากขึ้น เพราะเราต้องพูดแจงหน้าที่ของเราในที่ประชุมทุกๆ เช้า ที่นี่ พิเศษ
อีกอย่าง เรื่องอาหารการกิน กินกันได้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าใครซื้อมานัก แต่บนโต๊ะของนักศึกษาฝีกงานไม่เคยมีสักวันที่จะไม่มีของกินวางอยู่บนโต๊ะ (เป็นภาพที่เห็นจนชินตา)
การเป็นนักศึกษาฝึกงานที่กระจกเงา ทำให้มีโอกาสได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่คิดว่าคงมามีโอกาสได้ทำ ถ้า ไม่ได้มาฝึกงานที่นี่ อย่างเช่นการออกไปทำงานนอกพื้นที่ งานเปิดตัวหนังสือ แกะรอยฯ ของพี่เชษฐ์ ที่มีสื่อให้ความสนใจค่อนข้างมาก ,STUDY TOUR ได้ไปศึกษาดูงานจากองค์กรอื่นๆ (GREEN PEACH) และที่ประทับใจที่สุดคือ การที่ได้มีโอกาสไปเป็นอาสาสมัครช่วยสร้างบ้านที่พังงา ซึ่ง สำหรับเรื่องนี้แล้วถือ เป็นเรื่องที่พิเศษมากๆ เพราะจากการที่ได้มีโอกาสทำความดี แล้วการเป็นอาสาสมัครครั้งนี้ยังทำให้ความคิดและทัศนคติของตัวเองเปลี่ยนไป เล่าถึงความรู้สึกก่อนไป โดยส่วนตัว ไม่เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องไป เราไม่อยากไปจะมาบังคับเราทำไม มา ฝึกงานเขียนนะ ไม่ได้มาเป็นกรรมกร นั่งรถก็นานน่าเบื่อ สิ่ง เหล่านี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนเดินทางไปที่พังงา โดย ที่เราก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
วัน แรกของการเป็นกรรมกร (คิดว่าวันนี้จะแกล้งเป็นลม) แต่พอไปถึง ก็มัวแต่สนุกกับการผสมปูนขุดดิน
ทำถึงเที่ยงก็พักกินข้าว เลยลืมว่าตัวเองจะต้องเป็นลม ทำต่อเรื่อยๆจนถึงเย็นแล้วก็กลับที่พัก พอตกกลางคืนก็มีการประชุม ทำ อยู่อย่างนี้เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ อยู่ดีๆก็ไม่รู้ว่าเกิด อะไรขึ้นต่อมจิตสำนึกทำงานขึ้นมาอย่างกะทันหัน เราสามารถทำงานได้อย่างคนอื่นๆ ไม่หยุดเลยสักวัน ทั้งที่คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะแกล้งป่วยหยุดงานหนึ่งวัน คงเป็น เพราะตอนอยู่ที่พังงาเราได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนที่หลากหลาย แล้ว ทุกคนก็มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชาวบ้านอย่างจริงจัง เลย ทำให้เรารู้สึกว่าทำไมอาสาสมัครคนอื่นๆ ที่มาเค้าทำกันได้และดูตั้งใจทำกันจริงๆ ค่าเดินทางที่พักก็ เสียกันเอง คนพวกนี้เค้าคิดอะไรกัน เพราะบางคนก็หยุดงานประจำที่ทำอยู่มาเป็นอาสา ฯ ทุกอย่างมีคำ ตอบ คำถามที่เราสงสัย ไม่มีใครมาบอกกับเราแต่ทุกคำถามสามารถตอบได้จากการเหตุการณ์ แม้ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากลับการไปทำความดีมาครั้งนี้ กลับมากรุงเทพหน้าตาเบิกบานเพราะมีความสุขมากมาก
เปลี่ยนไปทุกอย่าง จากเมื่อวาน เรา คงจะไม่ใช่นักศึกษาฝึกงานที่มีหน้าที่เพียงส่งแฟกซ์ เขียนบทความ มีเวรล้างจาน เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น กลับการได้ทำความดี เรื่องเล่าของการเป็นนักศึกษาฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงา คงทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น มากกว่าวันเก่าๆ เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาที่แสนธรรมดา ความรูสึกต่างๆที่เกิดขึ้นที่นี่ มันมีทั้งสุขและทุกข์ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เรามีแรงและกำลังใจที่จะสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ หลายครั้งอุปสรรค์และปัญหารุมเร้าเข้ามา ถ้าเรายังหนีมันก็ ยังอยู่ แต่ถ้าเราสู้กับมันเราก็จะผ่านมันไปได้
เชื่อว่าคนเราทุกคนมี ความสามารถด้วยกันทั้งนั้น พรสวรรค์ที่คุณมีอยู่มักถูกถ่าย ทอดผ่านโอกาสที่เหมาะสม น่าเสียดายที่หลายคนยังรอโอกาสนั้น อยู่ ไม่มีใครสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ทั้งที่โอกาสมันก็อยู่ข้างหน้าคุณทุกคน คว้ามันไว้ เหมือน กับเราที่เราได้เลือกแล้ว นักศึกษา |
|
|
|
|