คำตอบ ของกระจกเงา
นักศึกษาบ้าฝึกงาน ตัวอักษรตัวใหญ่ที่อยู่บนป้ายโปสเตอร์ติดบนบอร์ดประกาศต่างๆใต้หอ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับที่นี่ มูลนิธิกระจกเงา เมื่อไกด์ได้ชวนให้มาฝึกงานที่นี่ จึงตัดสินใจลองมาสักครั้งด้วยความอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร อันที่จริงไกด์อยากฝึกงานต่างจังหวัดด้านชุมชน และฉันที่อยากฝึกด้านภาษาและเพื่อใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมที่แสนยาวนานนี้ให้มีค่ามากกว่ากินและนอนไปวันๆ เป้าหมายของเราจึงเป็นศูนย์พังงา แต่ก็ไม่สามารถไปได้ เราจึงเลือกที่จะมาทำที่ศูนย์กรุงเทพแทน
งานอาสาสมัคร ในความคิดแรกที่แล่นอยู่ในหัวสมองของฉันคือ การทำงานด้านสังคม อย่างเช่นการไปช่วยสร้างที่พักให้กับผู้ที่เดีอดร้อนที่พังงา เมื่อต้องมาทำงานที่กรุงเทพ ก็นึกภาพไม่ออกว่าจะต้องทำอะไร ถ้าบอกกันตามความเป็นจริง ฉันไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรจากการมาที่นี่ เพียงเพื่อการใช้เวลาให้หมดไปเท่านั้น เพราะการมีชีวิตอยู่เพื่อกินนอนไปวันๆ ไม่ได้ทำอะไรปล่อยให้เวลาเป็นตัวควบคุมเราว่าถึงเวลาเท่านี้ต้องทำอะไรบ้าง มันไม่รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง ไม่รู้ถึงคุณค่าของการหายใจ คุณค่าของการมีชีวิตอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยากทำงานเพื่อสังคม หรือเพื่อใคร ไม่เคยรู้เหตุผลของการที่คนกลุ่มหนึ่งจะออกมาทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพราะเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตาม เวลาจะทำอะไรก็ต้องการสื่งตอบแทนทั้งนั้น จึงคิดว่าอาสาสมัครนั้นทำไปเพื่ออะไร
เมื่อได้ย่างก้าวเข้ามาทำงานที่นี่ สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การทำงานครั้งแรก ไม่ใช่การเจอสิ่งที่แปลกใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันมีความรู้สึกที่เฉื่อยชา เป็นการทำงานที่ตั้งใจและคิดมากขึ้น มันคือการบ่มเพาะ การถูกต้อนด้วยคำถาม การถูกเรียกร้องให้เสนอความคิดเห็น การเห็นความคิดที่แตกต่างและแปลกๆของคนอื่น รวมทั้งการได้รับการรับฟังความคิดเห็นของตน และยอมรับในความคิดของเรา ที่เป็นแค่เด็ก ไม่มีประสบการณ์ เป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน ฉันรู้สึกกระตือรือร้นที่จะคิด รู้สึกถึงแรงอันมหาศาลที่ดันตัวเองให้กล้าที่จะออกความคิดเห็น และอยากที่จะฟังความคิดเห็นของคนอื่น สนุกดี...
|
|
|

|
ฉันยอมรับว่าการทำงานนั้น เกิดความรุ้สึกเครียดไม่น้อย การพบเจอกับงานที่ได้รับทำให้ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสนใจ ข่าวมากมายหลากหลายที่บอกว่าสังคมที่เราอยู่นี้มันกำลังเสื่อมโทรม มันไม่ได้อยู่ไกลตัวเรา มันอยุ่รอบตัวของเราเอง ฉันมัวไปทำอะไรอยู่? นั่นคือคำถามที่ถามตัวเองว่าเราหลอกตัวเองมานานแค่ไหน และจะหลอกตัวเองไปนานเท่าไหร่ นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกด้านหนึ่ง การเปิดหูเปิดตาตนเอง ฉันเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี อยากที่จะทำร้ายคนอื่นจนเป็นอาชญากร แต่เพราะการที่เรานึกถึงแต่ตนเองเท่านั้น เราจึงมองไม่เห็นคนอื่น มองไม่เห็นผุ้ที่เราทำให้เดือดร้อน จึงเกิดอาชญากรรมขึ้นมากมาย แล้วสังคมต้องดำเนินไปกับคนที่เห็นแต่ตัวเองอีกนานแค่ไหน ถ้าทุกคนไม่ได้เงยหน้ามองสังคมรอบข้างบ้าง มัวแต่ก้มหน้ามองแต่ตัวเอง สังคมคงน่าอยุ่มากเมื่อได้อยุ่กับตัวเองเท่านั้น
อะไรเป็นตัวตัดสินให้คนเราเลือกที่จะทำเพื่อตนเอง หรือสังคม เพื่อตนเองก็ดูเห็นแก่ตัว เพื่อสังคมก็ดูเป็นคนโง่ ทำไปเพื่ออะไร
จากวันแรกจนถึงวันที่จบออกมา สิ่งที่ได้คงไม่ใช่แค่เพียงทำเพื่อสังคม หรือการค้นพบว่าอาสาสมัครคืออะไร แต่ฉันได้คำตอบในใจแล้วถึงการที่ทำไม?คนกลุ่มหนึ่งจึงมาเป็นอาสาสมัคร จนถึงวันนี้ฉันก็ยังคงเชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน เพราะยังไงพวกพี่อาสาสมัครก็ทำไปโดยหวังว่าตนจะเป็นฟันเฟืองหนึ่งของสังคมที่คิดจะเปลี่ยนกงล้อนี้ให้หมุนไปอย่างถูกทาง ให้สังคมที่ดีอยู่ต่อไปให้สังคมปลอดภัยและสงบสุข และพวกพี่อาสาสมัครก็ทำเพื่อให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของผู้เปลี่ยนแปลง ???
ในอนาคต ฉันอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกงล้อที่หมุนไป อาจไม่ใช่ผู้เปลี่ยนแปลงสิ่งใด แต่สิ่งที่ได้จากการมาทำงานที่นี่จะทำให้ฉันได้รู้ว่าตนเองต้องทำอะไรต่อไป ได้ใช้เวลาทั้งหมดนั้นอย่างคุ้มค่า และได้ผลตอบแทนที่มีค่าแล้ว ทั้งมิตรภาพและการฝึกฝนตนเอง
หากการทำเพื่อตนเองนั้นดูเห็นแก่ตัว ฉันก็คงเป็นผู้เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง หากการทำเพื่อสังคมดูเป็นคนโง่ ทำแล้วไม่ได้อะไร ฉันก็คงไม่ใช่เป็นคนโง่คนหนึ่งหรอก ก็ทำเพื่อสังคม มันได้สิ่งมีค่าจริงๆนี่
|