จากภัยแล้งสู่ปัญหาเด็กเป่าแคน
|
เด็กตัวน้อยใส่เสื้อนักเรียนยืนเป่าแคนและเต้นไปตามจังหวะเสียงแคน ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนระอุและสภาพแวดล้อมรวมทั้งอารยธรรมความเจริญต่างๆ
ของเมืองหลวงที่แตกต่างจาก บ้าน อันเป็นถิ่นฐานของเด็กอย่างสิ้นเชิง
สายตาของผู้ที่เดินผ่านไปมาต่างให้ความสนใจและบางคนก็ให้เงินกับเด็ก
เพื่อหวังว่าเด็กจะได้นำเงินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่ได้เห็นและพาลคิดไปว่าทำไมพ่อแม่ของเด็กจึงปล่อยให้บุตรหลานมายืนเป่าแคนโดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจส่งผลกับตัวเด็กเลย
|
จากสภาพปัญหาความแห้งแล้งของดินแดนแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะปีนี้เพียงแค่ช่วงเริ่มต้นของฤดูแล้งก็เกิดปัญหาน้ำในแม่น้ำโขงลดลงจนเข้าขั้นวิกฤต ย่อมส่งผลกระทบกับชุมชนในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ต้องใช้น้ำในการประกอบอาชีพในภาคการเกษตร
เมื่อเกิดปัญหาภัยแล้งอย่างหนักเช่นนี้ความยากจนอดอยากย่อมคืบคลานเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทำให้ชาวบ้านบางครอบครัวหลีกหนีความแห้งแล้ง ทุรกันดารในบ้านเกิดของตนเอง และเลือกที่จะพาบุตรหลานตัวน้อยเข้ามาหาเงินโดยการเป็นเด็กเป่าแคนในกรุงเทพมหานคร |
|
สอดคล้องกับในขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการปิดภาคการศึกษา
ซึ่งเด็กมักจะใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อนในวัยเดียวกัน
เพื่อผ่อนคลายจากการเรียนและเป็นการเสริมสร้างทักษะทางการเรียนรู้อื่นๆ
นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน ซึ่งในบางครอบครัวก็มีความจำเป็นที่จะต้องให้บุตรหลานช่วยหารายได้พิเศษ
เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่และเป็นการใช้เวลาว่างของเด็กให้เกิดประโยชน์ ยิ่งในช่วงปิดภาคการศึกษาประกอบกับสภาพปัญหาภัยแล้ง
ย่อมเป็นช่วงเวลาที่เด็กจะหลั่งไหลเข้ามาขอทานโดยการเป่าแคนและซงครอบครัวของเด็กก็มักจะกล่าวอ้างเป็นความชอบธรรมว่าการพาเด็กมาเป่าแคนนี้
คือการ หารายได้เพื่อเป็นทุนการศึกษาของเด็ก
โครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน
มูลนิธิกระจกเงาได้ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลพบว่าเด็กเป่าแคนมีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงประถม
6 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กชั้นประถม1 3 และเด็กผู้ชายจะมีมากกว่าเด็กผู้หญิง
โดยมากจะเป็นเด็กจากจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ซึ่งเด็กเป่าแคนก็มีทั้งที่ครอบครัวสมัครใจให้มาและถูกบังคับ การเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครจะมีรถตู้เป็นพาหนะ
และจะกระจายตัวกันออกเป่าแคนรอบกรุงเทพมหานคร พื้นที่ที่สามารถพบเด็กเป่าแคนได้
เช่น ตลาดนัดสวนจตุจักร,อนุสาวรีย์
ชัยสมรภูมิและห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นต้น ในแต่ละวันเด็กต้องเป่าแคนวันละประมาณ10 12 ชั่วโมง เพื่อแลกกับรายได้จากการแสดงประมาณ10,000 บาทต่อเดือน
ด้วยรายได้ที่สูงพอสมควรเช่นนี้ ก่อให้เกิดค่านิยมในการนำเด็กมาเป่าแคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 |
แม้แต่ช่วงที่โรงเรียนเปิดภาคการศึกษา
เด็กก็ยังต้องเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันศุกร์และออกเป่าแคนในวันเสาร์
- อาทิตย์ ก่อนที่จะกลับไปเรียนหนังสือต่อในเช้าวันจันทร์ ด้วยระยะทางกว่า 400
กิโลเมตรในการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ประกอบกับเด็กต้องทนเป่าแคนท่ามกลางแดดร้อนตลอดทั้งวันไปจนถึงการได้พักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
รวมทั้งการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ |
และก่อให้เด็กเกิดความคิดที่ว่าการขอทานโดยการเป่าแคนคือ อาชีพ เพราะเด็กคิดแต่เพียงว่าเมื่อตนเองมาแสดงการเป่าแคนและมีคนให้เงินเท่านั้น
ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นคือการขอทาน
แม้ว่าการพาเด็กมาเป่าแคนอาจจะทำให้ครอบครัวของเด็กมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แต่การที่เด็กต้องเป่าแคนท่ามกลางแดดร้อนและต้องขาดโอกาสในการดำเนินชีวิตเฉกเช่นเด็กในวัยเดียวกัน
ก็เป็นสิ่งที่คนในสังคมควรคำนึงถึง มิเช่นนั้นแล้วภาพของเด็กเป่าแคนตัวน้อยในชุดนักเรียนก็คงจะมีให้เห็นอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้นและบานปลายไปสู่การซื้อขายเด็กอย่างเป็นระบบเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการขอทานโดยการเป่าแคนในที่สุด
ภาครัฐเคยมีความพยายามที่จะให้การส่งเสริมเด็กเป่าแคน
แต่ไม่นานเรื่องก็เงียบหายไป ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งทำให้เด็กเป่าแคนเพิ่มขึ้นด้วย
เนื่องจากไม่มีการกำหนดกรอบที่จะควบคุมการนำเด็กมาเป่าแคน ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐควรจะออกมาตรการณ์ในการควบคุมเด็กเป่าแคนให้มีความชัดเจน
เนื่องจากครอบครัวของเด็กเป่าแคนบางครอบครัวก็มีความจำเป็นที่จะต้องให้บุตรหลานของตนมาทำการแสดงเพื่อหารายได้
เพราะปัญหาความแห้งแล้ง ทุรกันดาร ทำให้ครอบครัวขาดรายได้ รวมทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้บังคับบุตรหลานให้ต้องมาทำการแสดง
แต่เป็นความสมัครใจของเด็กเองที่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและควรได้รับการสนับสนุน
แต่เมื่อมีคนบางกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์โดยการบังคับให้เด็กมาเป่าแคน
ทำให้เด็กเป่าแคนทั้งหมดถูกมองว่าเป็นเด็กที่มาทำการขอทานโดยการเป่าแคน
ซึ่งเด็กบางคนที่ถูกบังคับก็ไม่ได้มีความสามารถในการเป่าแคนเลย
ทำได้เพียงแค่เป่าลมเข้าไปในแคนให้มีเสียงเท่านั้น
ทางออกของปัญหาเด็กเป่าแคนก็คือ
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจกับผู้ปกครองรวมทั้งเด็กที่มาหารายได้โดยการเป่าแคนตามค่านิยมของคนในชุมชน
โดยการแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับเด็กที่ต้องเดินทางไกลเพื่อมาเป่าแคนในกรุงเทพมหานคร และต้องทำการแสดงการเป่าแคนเป็นระยะเวลานาน
ท่ามกลางแดดร้อนและไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
ทำให้ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก รวมไปถึงการชี้แจงให้เห็นถึงมุมมองของคนในสังคมที่มองว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่มาขอทาน โดยการเป่าแคน ซึ่งก็จะเป็นการลดค่านิยมของผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานของตนมาเป่าแคน
ส่วนเด็กที่ครอบครัวมีความจำเป็นจริงๆ
และเด็กมีความสมัครใจรวมถึงมีความสามารถในการเป่าแคน เด็กกลุ่มนี้ก็ควรได้รับการดูแลจากภาครัฐ โดยในระยะแรกภาครัฐควรสนับสนุนให้เด็กเป่าแคนได้มีโอกาสในการพัฒนาความสามารถทางดนตรีเพิ่มขึ้น
เช่น การส่งเสริมให้เด็กเป่าแคนได้เรียนดนตรีกับครูเพลงและจัดหาเครื่องดนตรีที่มีคุณภาพให้แก่เด็ก
รวมทั้งควรจัดสถานที่ให้เด็กเป่าแคนได้มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถของตนเองอย่างเหมาะสม
ซึ่งหากเด็กคนใดมีแววที่จะเป็นศิลปินทางด้านดนตรี ภาครัฐก็เข้าไปส่งเสริมให้เด็กได้แสดงดนตรีอย่างมืออาชีพ
นอกจากนี้ในเรื่องของระยะเวลาในการแสดงเป่าแคนภาครัฐก็ควรทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของเด็กเกี่ยวกับช่วงเวลาในการแสดงว่าไม่ควรเกินวันละ5 - 6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อมิให้เด็กตกอยู่ในสภาพถูกแสวงหาผลประโยชน์ และกำหนดอายุของเด็กเป่าแคนไว้ไม่ให้ต่ำกว่า10 ปี
ข้อกำหนดต่างๆ
เหล่านี้ย่อมจะเป็นการแยกเด็กที่ไม่มีความสามารถและถูกบังคับให้มาเป่าแคนออกจากเด็กที่ต้องการมาแสดงความสามารถเพื่อหารายได้จริงๆ
ในอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นการยกระดับ เด็กเป่าแคน ว่าไม่ใช่การขอทานแต่เป็นการมาแสดงความสามารถทางการเป่าแคนอย่างแท้จริง และยังทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในการได้ใช้ความสามารถในการเป่าแคนของตนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่
อีกทั้งยังเป็นการปิดช่องว่างของผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ในการนำเด็กมาขอทานโดยการเป่าแคนด้วย
|